7 พฤษภาคม 2561 เวลา 11.00 น. นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ตามโปรแกรมประชุมครม.สัญจร ณ หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณ “บ้านจันทรโสภา” หมู่บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ และได้เยี่ยมชมผลงานของสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ทัพไทย จำกัด
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ตามโปรแกรมประชุมครม.สัญจร ณ หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณ “บ้านจันทรโสภา” หมู่บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ และได้เยี่ยมชมผลงานของสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ทัพไทย จำกัด บ้านทัพไทย ตำบลทมอ อำเภอปราสาท ที่นำนิทรรศการผลิตข้าวครบวงจรมาร่วมแสดงด้วย โดยนางกัญญา อ่อนศรี ผู้ใหญ่บ้านทัพไทยและผู้ก่อตั้งสหกรณ์ฯ ได้เชิญนายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมตำข้าวเปลือก สีข้าวสารด้วยมือ ซึ่งเป็นวิถีชุมชนพื้นบ้านโบราณของชาวสุรินทร์ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้แนะนำให้เกษตรกรผู้ผลิต ผลิตตามความต้องการของตลาด หรือ ให้ใช้หลักการตลาดนำการผลิต สินค้าเกษตรจึงจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สำหรับสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ทัพไทย จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557 ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ปัจจุบันสหกรณ์ฯ มีกลุ่มเครือข่าย 15 กลุ่ม 16 หมู่บ้าน 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลทมอ ตำบลโคกยาง ตำบลตาเบา ตำบลประทัดบุ ตำบลสลักได ตำบลบ้านไทร และตำบลช่างปี่ ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกรวมทั้งหมด 207 ราย มีพื้นที่การเพาะปลูกรวม 4,000 ไร่ โดยเริ่มจากการรวมตัวของเกษตรกรบ้านทัพไทยและเกษตรกรบ้านโคกวัด-โคกทม ด้วยใจที่อยากกลับมาพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของนางกัญญา อ่อนศรี และอยากเห็นครอบครัวและชุมชนมีความสุข จึงได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มขึ้นในนาม “กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและอาชีพทางเลือกบ้านทัพไทย” ในปี พ.ศ. 2543 ด้วยแนวคิดของกลุ่ม คือการเปลี่ยนรูปแบบการทำการเกษตรจากเดิมทำ “เกษตรเคมี”มาทำ “เกษตรอินทรีย์” โดยมองเห็นว่าการทำเกษตรแบบเคมีเป็นที่มาของความยากจนและมีผลต่อสุขภาพ เนื่องจากเกษตรกรต้องพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากภายนอก ทั้งปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสุขภาพของเกษตรกร ซึ่งในช่วงแรกทางกลุ่มได้รับแรงเสียดทานจากคนในชุมชนมากพอสมควร เพราะการทำเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องใหม่สำหรับชุมชนในขณะนั้น อีกทั้งต้องเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ ด้วยการไปเรียนรู้กับปราชญ์ชาวบ้านที่ประสบความสำเร็จด้านการปลูกข้าวอินทรีย์ แต่หลังจากการได้พัฒนาเทคนิคการทำเกษตรอินทรีย์จนผลผลิตข้าวเพิ่มสูงขึ้น ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องราคาข้าวที่โรงสีรับซื้อข้าวในราคาเท่ากับข้าวทั่วไป ทั้งที่กระบวนการผลิตซับซ้อนกว่าและต้องใช้การดูแลเอาใจใส่มากกว่า จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ อนุมัติงบพัฒนาจังหวัด ให้สำนักงานสหกรณ์จังหวัดสุรินทร์ ดำเนินการก่อสร้าง โรงสีข้าวขนาดกำลังการผลิต 6 - 8 ตันต่อวันพร้อมโรงคลุมและติดตั้งระบบไฟฟ้า งบประมาณ 2,720,000 บาท ,เครื่องยิงสีขนาด 320 ช่อง งบประมาณ 2,570,000 บาท , ฉาง ขนาด 150 ตัน งบประมาณ 959,000 บาท, เครื่องชั่งขนาด 40 ตัน พร้อมห้องควบคุม งบประมาณ 959,000 บาท และลานตาก ขนาด 400 ตารางเมตร งบประมาณ 256,000 บาท ทำให้สหกรณ์ฯ สามารถรวมรวมข้าวเปลือกอินทรีย์จากเกษตรกรสมาชิก นำมาแปรรูปเป็นข้าวสาร โดยในปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายในธุรกิจแปลรูปผลผลิตการเกษตร จำนวน 6,516,172 บาท ส่งผลให้เกษตรกรสมาชิกมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากการที่สามารถลดต้นทุนผลิตและขายข้าวได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักได้แก่เครือข่ายผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร รวมทั้งมีผู้นำข้าวอินทรีย์ของทางสหกรณ์ ส่งไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย
สำหรับความเชื่อมั่นต่อการผลิตข้าวให้ได้ตามมาตรฐานนั้น สหกรณ์ฯ ได้ร่วมโครงการกับ “มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย” เพื่อจัดทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “ระบบ พี จี เอส” (Participatory Guarantee System, PGS) เนื่องจากเห็นว่าระบบ พี จี เอส เป็นกระบวนการรับรองเกษตรอินทรีย์โดยชุมชนบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของกรรมการ ตัวแทนผู้ตรวจและผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียภายใต้หลักความไว้วางใจเครือข่ายสังคมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มผู้ผลิตร่วมกับผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เช่นนักวิชาการ นักส่งเสริม หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษาและมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทยร่วมกันกำหนดมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส โดยอิงมาตรฐานสากล ประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิต ทรัพยากร สภาพแวดล้อมภูมิอากาศของท้องถิ่น ร่วมกันในการตรวจรับรองมาตรฐาน และได้สมัครการขอรับรองมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) จนสมาชิกของกลุ่มทุกรายได้รับมาตรฐาน และได้พัฒนาการขอมาตรฐานต่อเพื่อการส่งออกไปยังตลาดยุโรป มาตรฐานที่ได้รับการรับรองแล้ว ได้แก่ PGS (Participatory Guarantee Systems), Organic Thailand, GI (Geographical Indication) และสหกรณ์กำลังดำเนินการขอรับรองมาตรฐาน GMP และ อย.
สำหรับเป้าหมายหลักการดำเนินงานของสหกรณ์ คือ การรับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ของสมาชิกและจากเครือข่ายที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในระบบ พี จี เอส ในราคายุติธรรม นำไปจำหน่ายทั้งในตลาดชุมชนและตลาดต่างจังหวัด เพื่อแบ่งปันข้าวอินทรีย์ให้คนไทยได้รับประทานในราคาไม่แพง
{gallery}08may2561_1{/gallery}