4 พฤษภาคม 2561 กรมส่งเสริมสหกรณ์เผยแผนรวบรวมผลไม้ของสหกรณ์ปีนี้กว่า 40,000 ตันเตรียมเสนอครม.ขอสินเชื่อธกส.สนับสนุนธุรกิจรวบรวมผลไม้สหกรณ์ ปีละ 1,500 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี
กรมส่งเสริมสหกรณ์เผยแผนรวบรวมผลไม้ของสหกรณ์ปีนี้กว่า 40,000 ตันเตรียมเสนอครม.ขอสินเชื่อธกส.สนับสนุนธุรกิจรวบรวมผลไม้สหกรณ์ ปีละ 1,500 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปีกรมส่งเสริมสหกรณ์เผยแผนบริหารจัดการผลไม้ของสหกรณ์การเกษตรปีนี้ ตั้งเป้ารวบรวมผลผลิตจากสมาชิก ไม่น้อยว่า 40,000 ตัน คาดปริมาณผลผลิตลดลงจากปีที่ผ่านมา ขณะนี้ผลไม้ภาคตะวันออกเริ่มทยอยออกสู่ตลาด ทั้งมังคุด ทุเรียน เงาะและลองกอง ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเสนอครม.ขออนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธกส. เพื่อสนับสนุนการรวบรวมผลไม้ของสถาบันเกษตรกรปีละ 1,500 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี และช่วงกลางเดือนพ.ค.นี้ จะเปิดสวนผลไม้สมาชิกสหกรณ์จันทบุรี ระยอง ตราด ให้ตัวแทนอะลีบาบา กรุ๊ป เยี่ยมชมการผลิตผลไม้คุณภาพเพื่อสร้างความมั่นใจก่อนทำข้อตกลงซื้อขายสินค้าส่งไปจีน คาดว่าจะเริ่มในฤดูกาลปีหน้า
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในฤดูกาลผลไม้ปีนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์มีนโยบายในการสนับสนุนให้สหกรณ์ดำเนินธุรกิจผลไม้ตามกลไกตลาดปกติ แต่จะเน้นให้สหกรณ์สนับสนุนสมาชิกผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน GAP เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพสินค้าของสหกรณ์ให้เป็นที่ยอมรับ และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค ปัจจุบัน สหกรณ์การเกษตรที่ดำเนินธุรกิจผลไม้ทั่วประเทศมีจำนวน 92 แห่ง ใน 19 จังหวัด และตั้งเป้ารวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรกว่า 40,000 ตัน ซึ่งคาดว่าปริมาณผลผลิตในปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นผลไม้จากภาคตะวันออก ทั้งมังคุด เงาะ ทุเรียน ลองกอง และมะม่วงน้ำดอกไม้ ปริมาณ 19,000 ตัน ผลไม้จากภาคเหนือ ได้แก่ ลิ้นจี่ ลำไยสดและแปรรูป สตอเบอรี่และสับปะรด 14,000 ตัน ผลไม้ภาคใต้ ได้แก่ มังคุด เงาะ ลองกองและทุเรียน จำนวน 5,000 ตัน และผลไม้ภาคกลางได้แก่ กล้วยหอมทองของสหกรณ์ในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 2,000 ตัน ซึ่งตลาดรองรับผลไม้ของสหกรณ์ส่วนใหญ่ เป็นการส่งจำหน่ายให้กับห้างโมเดินเทรด บริษัทผู้ส่งออก และเครือข่ายสหกรณ์ในจังหวัดต่าง ๆ ส่งผลทำให้การกระจายผลผลิตของสหกรณ์เป็นไปด้วยความรวดเร็วและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันเวลา
สำหรับการสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจผลไม้ของสหกรณ์ ขณะนี้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมผลไม้ของสถาบันเกษตรกร โดยจะสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงินสินเชื่อปีละ 1,500 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี รวมวงเงิน 4,500 ล้านบาท ระยะเวลาตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2561 – 31 พฤษภาคม 2564 โดยธกส.จะคิดดอกเบี้ยในอัตรา MLR-1 ซึ่งสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้กับธกส. ร้อยละ 3 ต่อปี เพื่อให้สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ไม่น้อยกว่า 100 แห่ง ได้มีทุนหมุนเวียนในการรวบรวมผลไม้จากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไปในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวและระบายออกนอกแหล่งผลิต โดยคาดว่าจะนำเสนอครม. ในวันที่ 8 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ ในการผลักดันให้สหกรณ์ส่งออกผลไม้ไปจำหน่ายยังต่างประเทศ หลังจากที่บริษัท Shanghai Win Chin Supply Management ซึ่งเป็นตัวแทนในการจัดซื้อสินค้าของบริษัทอะลีบาบา กรุ๊ป ของจีน ได้เดินทางมาเจรจาธุรกิจกับสหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรี ระยอง และตราด เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อสั่งซื้อทุเรียนจากสหกรณ์โดยตรง โดยทางบริษัทจะนำไปโปรโมทผ่านเวปไซต์ทีมอลล์ และประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคชาวจีนรู้จักผลไม้ของไทย โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งคนจีนยอมรับว่าทุเรียนไทยเป็นทุเรียนที่ดีที่สุดในโลก ทั้งนี้ ในปีนี้ผลผลิตอาจจะยังไม่สามารถส่งจำหน่ายให้อะลีบาบาได้ทุกสหกรณ์ เนื่องจากสหกรณ์ส่วนใหญ่ได้วางแผนตลาดตั้งแต่ก่อนฤดูกาลผลิตแล้ว และคาดว่าการทำธุรกิจซื้อขายผลไม้กับทางอาลีบาบาจะสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มตัวในปี 2562 เป็นต้นไป
“เบื้องต้นทางบริษัทอะลีบาบา กรุ๊ป จะส่งตัวแทนเข้ามาดูสวนผลไม้ของเกษตรกร จุดรวบรวมและกระบวนการคัดคุณภาพผลไม้ของสหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อให้เขามั่นใจในคุณภาพของสินค้าของสหกรณ์ จากนั้นจะดูเรื่องปริมาณผลผลิตในแต่ละปีว่าสามารถรวบรวมและส่งขายให้ได้เท่าไหร่ แล้วจึงทำข้อตกลงธุรกิจซื้อขายผลไม้ร่วมกัน โดยกรมฯจะเป็นผู้สนับสนุนความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้สหกรณ์ได้ค้าขายผลไม้กับทางอะลีบาบา ซึ่งทางตัวแทนของอะลีบาบาได้เสนอว่าจะร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจผลไม้ของสหกรณ์ให้ก้าวหน้าและสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับสหกรณ์ไทยในการขยายช่องทางการตลาดผ่านการจำหน่ายทางออนไลน์ของประเทศจีน ซึ่งกรมฯ คาดหวังว่าสหกรณ์จะสามารถส่งออกผลไม้ได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต และนับว่าเป็นโอกาสดีที่อะลีบาบาให้ความสนใจและเดินทางมาเจรจาซื้อผลไม้กับสหกรณ์ของไทย เพราะจะเป็นการกระตุ้นสมาชิกสหกรณ์ให้เห็นความสำคัญในการพัฒนาการผลิตผลไม้ให้มีคุณภาพ เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดและสามารถส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้ ซึ่งการสนับสนุนสหกรณ์ให้มีศักยภาพในการออกสินค้าไปต่างประเทศ สหกรณ์ต้องเรียนรู้กระบวนการขั้นตอนการส่งออกสักระยะ เรื่องการทำพิธีการนำเข้าส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้เอง และคาดหวังว่าในอนาคตสหกรณ์จะมีศักยภาพในการส่งออกสินค้าการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ผลไม้และยางพารา” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว
{gallery}04may2561_1{/gallery}