อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์กองทุนสวนยางควนเปล จำกัด ตำบลท่าเรือ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
13 มิถุนายน 2567 นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของสหกรณ์กองทุนสวนยางควนเปล จำกัด ตำบลท่าเรือ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี โดยมี นายธนะวิทย์ ชูทอง ผู้ตรวจราชการกรม เขตตรวจราชการที่ 6 และ 7 นายธัชพงศ์ บัวนุช สหกรณ์จังหวัดปัตตานี สหกรณ์จังหวัดในพื้นที่ใกล้เคียง คณะกรรมการสหกรณ์ และบุคลากรสำนักงานสหกรณ์จังหวัดปัตตานี ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ อธิบดีฯ ได้รับฟังสรุปผลการดำเนินงานของสหกรณ์ พร้อมกล่าวชื่นชมคณะกรรมการ ฝ่ายจัดการ สมาชิกสหกรณ์ที่ร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจกันจนสามารถดำเนินธุรกิจได้ประสบผลสำเร็จ มีการรวมซื้อรวมขาย รวบรวมน้ำยางพาราสด นำมาแปรรูป ตลอดจนการเชื่อมโยงเครือข่ายในการรวบรวมน้ำยางสด และยังดำเนินงานตามกฎหมาย EUDR ทำให้ขายยางพาราได้ราคาดีขึ้น และได้รับการยอมรับจากต่างชาติ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายให้เพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิตโดยการใช้ปุ๋ยสั่งตัดให้มากขึ้น ส่งเสริมให้สหกรณ์มีโรงผสมปุ๋ยของตนเอง ขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดินในการตรวจวิเคราะห์ค่าดิน และให้สหกรณ์ผสมปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินของสมาชิก ซึ่งกรมฯ พยายามขับเคลื่อนและจะพัฒนาไปจนถึงปุ๋ยคนละครึ่งเพื่อให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตด้วย อย่างไรก็ตาม อยากให้สหกรณ์เชิญชวนสมาชิกสหกรณ์เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินกิจกรรมหรือธุรกิจของสหกรณ์ให้มากขึ้น และเชิญชวนเกษตรกรเข้ามาเป็นสมาชิกสหกรณ์ให้มากขึ้นด้วย ซึ่งสหกรณ์จะประสบผลสำเร็จได้ก็มาจากความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกสหกรณ์ คณะกรรมการ ฝ่ายจัดการทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ดูแลสวัสดิการต่าง ๆ ของสมาชิก ขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการ ฝ่ายจัดการ และสมาชิกสหกรณ์ กรมพร้อมสนับสนุนงบประมาณ อุปกรณ์การตลาด ไปจนถึงองค์ความรู้ด้านการแปรรูป การตลาด การเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างเครือข่ายสหกรณ์ร่วมกันกระจายสินค้าคุณภาพของสหกรณ์ และการสร้างอาชีพเพื่อสร้างรายได้เสริมด้วย
สหกรณ์กองทุนสวนยางควนเปล จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2536 ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 31 ปี ปัจจุบันสมาชิก 102 คน ทุนดำเนินงาน 1.565 ล้านบาท สหกรณ์ดำเนินธุรกิจรวบรวมผลผลิต ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย และธุรกิจแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรและการผลิตสินค้า ซึ่งสหกรณ์ฯ ดำเนินการแปรรูปยางพารา โดยสหกรณ์ได้กู้เงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ ตามวัตถุประสงค์ในการรวบรวมและแปรรูปยางพารา จำนวน 1 ล้านบาท เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนหลักในการดำเนินธุรกิจ และสามารถใช้อุปกรณ์การตลาดที่ได้รับสนับสนุนจากภาครัฐในการรวบรวมและแปรรูปยางพารา โดยรับซื้อน้ำยางสดของสมาชิก เกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายในการรวบรวมน้ำยางสด อาทิ สหกรณ์การเกษตร กรป.กลาง มะปรางมันปัตตานี จำกัด สหกรณ์กองทุนสวนยางคลองช้าง จำกัด สหกรณ์กองทุนสวนยางโคกพันตัน จำกัด
นอกจากนี้ ยังได้ตอบสนองต่อนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเน้นขับเคลื่อนงานส่งเสริมสร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูง ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงาน เช่น การสนับสนุนจากการยางแห่งประเทศไทยในการเข้าร่วมขับเคลื่อนงานตามกฎหมาย EUDR (European Union Deforestation-free Regulation) โดยยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางมาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่า รวมทั้งจะต้องการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม และใช้ระบบการประมูลขายยางผ่านระบบตลาดซื้อขายยางพาราให้กับตลาดกลางยางพาราจังหวัดยะลา ส่งผลให้สหกรณ์ขายยางพาราในราคาที่สูงกว่าตลาด ประมาณกิโลกรัมละ 10 บาท และอีกส่วนหนึ่งถือว่าเป็นการขับเคลื่อน BCG เพิ่มคุณภาพชีวิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สหกรณ์ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากพลังงานจังหวัดปัตตานีเรื่องบ่อบำบัดน้ำเสียจากกระบวนการผลิตยางพารา ใช้น้ำเสียแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตของสหกรณ์ ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิต (ไม้ฟืน) ลดลงกิโลกรัมละ 0.40 บาท หรือลดลงประมาณ 58,000 บาท/ปี
นอกจากนี้ สหกรณ์ยังผลิตปุ๋ยสั่งตัด โดยได้กู้เงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ตามวัตถุประสงค์ จำนวน 1 ล้านบาท เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนหลักในการดำเนินธุรกิจ และสามารถใช้อุปกรณ์การตลาดที่ได้รับสนับสนุนจากภาครัฐในการแปรรูปปุ๋ยสั่งตัด ส่งผลให้สามารถจัดหาแม่ปุ๋ย และผลิตปุ๋ยสั่งตัดจำหน่าย จำหน่ายให้กับสมาชิกทำให้สามารถลดต้นทุนการประกอบอาชีพในการใส่ปุ๋ยได้กระสอบละ 200 บาท โดยลดลงประมาณ 600 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.67