ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสหกรณ์กองทุนสวนยางคอคอดกระ จำกัด ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
17 มีนาคม 2564 นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสหกรณ์กองทุนสวนยางคอคอดกระ จำกัด ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง โดยมีนายประพาส ไชยรักษา ประธานสหกรณ์ คณะกรรมการดำเนินงาน และสมาชิกสหกรณ์ ให้การต้อนรับ
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสหกรณ์กองทุนสวนยางคอคอดกระ จำกัด ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง โดยมีนายประพาส ไชยรักษา ประธานสหกรณ์ คณะกรรมการดำเนินงาน และสมาชิกสหกรณ์ ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้รับฟังสรุปผลการดำเนินงาน และให้แนวทางในการดำเนินงาน คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่สมาชิกสหกรณ์ให้มีการดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้สมาชิก มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสหกรณ์ให้ครบวงจร รวมถึงการวางแผนการผลิต การวางแผนด้านการตลาด และการมีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ เพื่อพัฒนาคุณภาพของชีวิต และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับสมาชิกและคนในชุมชน จากนั้น อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมลานปาล์มน้ำมัน จุดรับซื้อเศษยางก้นถ้วย จุดรับซื้อยางพารา โรงเก็บปุ๋ย โรงผลิตน้ำกรดจับยางถ้วย อาคารรวบรวมแผ่นยางดิบ ร้านค้าสหกรณ์ โดยจุดผสมปุ๋ยของสหกรณ์นั้น จะมีการนำแม่ปุ๋ยมาผสมตามสูตรต่างๆตามที่สมาชิกมีความต้องการและชั่งน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน จากนั้นได้เก็บปุ๋ยที่ผสมแล้วรอการจำหน่ายให้สมาชิก ซึ่งสมาชิกจะได้รับเงินเฉลี่ยคืนจากการซื้อปุ๋ยของสหกรณ์ การใช้ปุ๋ยผสมเองทำให้เหมาะสมกับสภาพของดินและพืชที่ปลูก ช่วยให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพ นอกจากนี้สหกรณ์ยังมีจุดรวบรวมยางพารา สมาชิกจะนำยางพารามาขายให้กับสหกรณ์ ซึ่งสมาชิกมีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจกับสหกรณ์ ขายยางพาราได้ในราคาตามคุณภาพของยางพาราที่สหกรณ์กำหนดอีกด้วย
สำหรับสหกรณ์กองทุนสวนยางคอคอดกระ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2538 ปัจจุบันมีสมาชิก 662 ราย ธุรกิจหลักของสหกรณ์ คือ ธุรกิจรวบรวมผลผลิตและธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย การผสมปุ๋ยเพื่อจำหน่ายแก่สมาชิก และรับฝากเงินจากสมาชิก การรวบรวมยางเพื่อประมูลผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ และสหกรณ์ได้รับเงินอุดหนุนสนับสนุนอุปกรณ์การตลาดจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ โครงการเพิ่มศักยภาพการรวบรวมและการแปรรูปยางพาราในสถาบันเกษตรกร จากกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อจัดซื้อรถโฟล์คลิฟท์ ขนาด 3.5 ตัน จำนวน 1 คัน ซึ่งสามารถลดต้นทุนค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย กิโลกรัมละ 0.20 บาท ได้อีกด้วย
{gallery}17mar2564_4{/gallery}