28 มิถุนายน 2562 นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมคณะ ผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายพีรพนธ์ กิจโกศล ผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์เขต 13, 14 นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาสหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกร นายเสฐียรพงษ์ อินเพน สหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมคณะ ผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายพีรพนธ์ กิจโกศล ผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์เขต 13, 14 นายอัชฌา สุวรรณนิตย์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาสหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกร นายเสฐียรพงษ์ อินเพน สหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด ลงพื้นที่อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อติดตามการใช้ประโยชน์อุปกรณ์การตลาดที่สหกรณ์การเกษตรอาจสามารถ จำกัด ได้รับงบประมาณกลางปี 2561 ไทยนิยมยั่งยืนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ วงเงิน 24,824,500 บาท สหกรณ์สมทบเพิ่มเติมอีก 4,600,477 บาท สร้างโรงสีข้าวพร้อมโรงคลุมขนาด 24 ตันต่อวัน ฉางเก็บข้าวเปลือกขนาด 2,000 ตัน อาคารจัดเก็บข้าวสารขนาด 500 ตัน ลานตาก เครื่องชั่งและอุปกรณ์ เพื่อให้สำหรับรองรับข้าวเหนียวจากสมาชิกสหกรณ์ และเชื่อมโยงกับสหกรณ์ในพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดร้อยเอ็ด
ปัจจุบันสหกรณ์มีสมาชิก 1,240 ราย ในพื้นที่ 10 ตำบลของอำเภออาจสามารถ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียว กข.6 ซึ่งสหกรณ์มีแผนขยายธุรกิจแปรรูปข้าวเหนียว กข.6 และเป็นสหกรณ์ที่มีโรงสีข้าวเหนียวขนาดใหญ่เป็นแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อให้ได้การรับรองมาตรฐาน GMP
สำหรับฤดูกาลผลิตปีนี้ สหกรณ์จะรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจากสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนาแปลงใหญ่ จำนวน 200 ราย พื้นที่ 2000 ไร่ ผลผลิตประมาณ 1,000 ตัน และรับซื้อจากสหกรณ์เครือข่ายในจังหวัดใกล้เคียงอีก 1,000 ตันมาแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุงพร้อมจำหน่าย ซึ่งมีตลาดเป้าหมายอยู่ที่เครือข่ายสหกรณ์ในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้
ทั้งนี้ การปลูกข้าวเหนียวจะปลูกได้ปีละ 1 ครั้ง ระหว่างเดือนพฤษภาคม-กันยายน และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 500 กก.เมื่อนำมาแปรรูปเป็นข้าวสารจะเหลือน้ำหนัก 250 กก. ปีที่ผ่านมาราคาข้าวเปลือกเหนียวอยู่ที่ตันละ 14,000 บาท และเมื่อสีเป็นข้าวสารจะเพิ่มมูลค่าเป็นราคาตันละ 30,000 บาท
อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้กำชับกับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการสหกรณ์วางแผนธุรกิจเรื่องการแปรรูปข้าวเหนียวจำหน่ายสู่ตลาด ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและเครือข่ายสหกรณ์ด้วยกันว่ามีความต้องการซื้อข้าวเหนียวแบบไหน ปริมาณความต้องการจำนวนเท่าไหร่ เพื่อนำมาวางแผนส่งเสริมให้สมาชิกปลูก และรวบรวมผลผลิตมาป้อนเข้าโรงสีของสหกรณ์เพื่อกระจายสู่ตลาด สิ่งสำคัญคือต้องผลิตข้าวที่มีคุณภาพ สหกรณ์ต้องดูแลสมาชิกตั้งแต่การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดี การดูแลระหว่างการปลูก การเก็บเกี่ยว การรวบรวมผลผลิตและการจัดหาตลาดเข้ามา รองรับ ซึ่งจะทำให้สมาชิกมีความเชื่อมั่นและช่วยเพิ่มรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรต่อไป
{gallery}28june2562_2{/gallery}